ทปษ.รัฐมนตรีเกษตรฯ ประชุมหารือแนวทางการส่งเสริมการผลิตกาแฟใน 8 จังหวัดภาคเหนือ
นายบุญสิงห์ วรินทร์รักษ์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ประชุมหารือแนวทางการส่งเสริมการผลิตกาแฟใน 8 จังหวัดภาคเหนือ โดยมี นายพีรพันธ์ คอทอง อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร นายสุริยะ คำปวง รองอธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร นายเรืองพจน์ ธารานาถ ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมและพัฒนาการเกษตรที่ 6 จังหวัดเชียงใหม่ และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เข้าร่วม ณ ห้องประชุมสำนักงานชลประทานที่ 1 จังหวัดเชียงใหม่
สำหรับการประชุมในครั้งนี้ มีที่มาจากนโยบายของ ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ซึ่งมีการแถลงวิสัยทัศน์ IGNITE THAILAND “จุดประกายเกษตรไทย สู่การเป็นศูนย์กลางการเกษตรและอาหารโลก Ignite Thailand: Agriculture Hub” ว่า กาแฟเป็นพืชที่มีศักยภาพในการยกระดับสินค้าเกษตรสู่การเพิ่มรายได้ จึงมอบหมายให้กรมส่งเสริมการเกษตร จัดประชุมหารือแนวทางการส่งเสริมการผลิตกาแฟใน 8 จังหวัดภาคเหนือ โดยเชิญเกษตรกร ผู้ประกอบการ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐ และเอกชน เข้าร่วมหารือสถานการณ์การผลิต แนวโน้มการปรับเปลี่ยนพื้นที่อย่างเหมาะสม และร่วมวางแนวทางการเพิ่มผลผลิต กาแฟอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งได้หารือในประเด็นพื้นที่ปลูกกาแฟที่เหมาะสมและมีศักยภาพ (ตามระดับความสูงของระดับน้ําทะเลและคุณภาพดิน) จําแนกตาม สายพันธุ์อาราบิกา สายพันธุ์โรบัสตา ปริมาณผลผลิตกาแฟที่คาดว่าจะออกสู่ตลาด ตามพื้นที่ข้างต้น จําแนกตามช่วงเวลาไปข้างหน้า 10 ปี ปริมาณความต้องการซื้อของตลาดไปข้างหน้า 10 ปี (ปริมาณ คุณภาพ มาตรฐาน และราคา) จําแนกตามสายพันธุ์ และกรอบแนวทางการส่งเสริมที่สอดคล้องระหว่างอุปสงค์และอุปทาน
ทั้งนี้ จากการประชุมหารือดังกล่าว ได้รับฟังความเห็นจากทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐต่าง ๆ มูลนิธิโครงการหลวง สมาคมกาแฟไทย สภาหอการค้า วิสาหกิจชุมชน ผู้ประกอบการภาคส่วนเอกชน เช่น บริษัท ปตท. ค้าปลีกฯ เครือเจริญโภคภัณฑ์ บริษัทฮิลล์คอฟฟ์ เป็นต้น รวมทั้งเกษตรกรผู้ปลูกกาแฟ ทำให้ได้ข้อมูลและแนวทางในการวางแผนส่งเสริมการผลิตกาแฟ ที่มองเห็นถึงสถานการณ์ สภาพปัญหา ศักยภาพ ความเข้มแข็ง และโอกาสต่าง ๆ ในการขับเคลื่อนตลอดห่วงโซ่อุปทาน ซึ่งกรมส่งเสริมการเกษตรจะนำไปขับเคลื่อนการส่งเสริมผลิตกาแฟ เพิ่มพื้นที่การผลิตอย่างยั่งยืน ในพื้นที่ที่เหมาะสม ใช้สายพันธุ์ที่ให้ผลผลิตสูง มีต้นทุนและราคาที่เกษตรกรอยู่ได้ ตอบสนองต่อความต้องการของผู้บริโภค และแข่งขันได้ในตลาดโลกต่อไป