กรมชลประทาน เปิดเผยถึงสถานการณ์น้ำปัจจุบัน (8 ก.ค.68) ว่า อ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่และขนาดกลางทั่วประเทศ มีปริมาณน้ำรวมกันทั้งสิ้นประมาณ 43,849 ล้าน ลบ.ม. (57% ของความจุอ่างฯ รวมกัน) สามารถรับน้ำได้อีก 32,653 ล้าน ลบ.ม. เฉพาะลุ่มน้ำเจ้าพระยา 4 เขื่อนหลัก (เขื่อนภูมิพล เขื่อนสิริกิติ์ เขื่อนแควน้อยบำรุงแดน และเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์) มีปริมาณน้ำรวมกันทั้งสิ้นประมาณ 13,257 ล้าน ลบ.ม. (53% ของความจุอ่างฯ รวมกัน) สามารถรับน้ำได้อีก 11,614 ล้าน ลบ.ม. ภาพรวมปริมาณน้ำเก็บกักอยู่ในเกณฑ์ดี และเป็นไปตามแผนที่วางไว้
ทั้งนี้ จากสถานการณ์ฝนที่มาเร็วกว่าปกติ ทำให้หลายพื้นที่มีความเสี่ยงต่อภาวะน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก ดินโคลนถล่ม และน้ำท่วมขัง โดยเฉพาะช่วงต้นเดือนกรกฎาคมที่ร่องมรสุมมีกำลังปานกลางถึงค่อนข้างแรงพาดผ่านภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน ก่อนเคลื่อนตัวเข้าสู่หย่อมความกดอากาศต่ำบริเวณประเทศเวียดนาม ส่งผลให้เกิดฝนตกหนักบางพื้นที่ในประเทศไทย เพื่อให้การรับมือกับภัยพิบัติด้านการเกษตรเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ กรมชลประทาน ได้เฝ้าระวังและติดตามสถานการณ์น้ำอย่างใกล้ พร้อมทั้งนำข้อมูลที่เกี่ยวข้องมาวิเคราะห์วางแผนการบริหารจัดการน้ำให้สอดคล้องกับสถานการณ์ รวมทั้งพิจารณาปรับการระบายน้ำให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสมและไม่ส่งผลกระทบต่อท้ายเขื่อน เพื่อรองรับปริมาณฝนที่จะเพิ่มขึ้น ตามแนวทางของสำนักทรัพยากรน้ำแห่งชาติ(สทนช.) และข้อสั่งการของกองอำนวยการน้ำแห่งชาติ(กนช.)ที่สำคัญให้ปฏิบัติตาม 9 มาตรการรับมือฤดูฝนปี 68 อย่างเคร่งครัด รวมทั้งมั่นตรวจสอบอาคารชลศาสตร์และกำจัดสิ่งกีดขวางทางน้ำอย่างต่อเนื่อง ตลอดจนกำหนดพื้นที่เสี่ยง และมอบหมายเจ้าหน้าที่พร้อมเครื่องจักรเครื่องมือประจำจุดเสี่ยง เพื่อให้สามารถเข้าช่วยเหลือพื้นที่ได้อย่างทันท่วงที สามารถลดผลกระทบที่จะเกิดกับประชาชนให้ได้มากที่สุด ตามข้องสั่งการของ นายอรรถกร ศิริลัทธยากร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์