3 รัฐมนตรีเกษตรฯยกทีมลงพื้นที่ดูสถานการณ์น้ำในเขื่อนภูมิพล-สิริกิติ์เตรียมใช้ระบบการชะลอสูบน้ำเพื่อยืดระยะเวลาน้ำใช้การเหลือนานขึ้นแก้วิกฤติน้ำไม่ไหลลงเขื่อน พร้อมเตรียมหารือนายกฯระดม3 เหล่าทัพร่วมแก้ปัญหาภัยแล้ง
นายประภัตรโพธสุธนรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์พร้อมด้วยร้อยเอกธรรมนัสพรหมเผ่ารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และนางสาวมนัญญาไทยเศรษฐ์รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์น้ำในเขื่อนณเขื่อนภูมิพลต.บ้านนาอ.สามเงาจ.ตากและเขื่อนสิริกิติ์จ.อุตรดิตถ์เพื่อรับฟังรายงานสถานการณ์น้ำจากการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยกรมชลประทานกรมส่งเสริมการเกษตรกรมฝนหลวงและการบินเกษตรและหน่วยงานอื่นๆที่เกี่ยวข้องพร้อมรับฟังปัญหาของเกษตรกรเพื่อพิจารณาหาแนวทางแก้ไขต่อไปจากนั้นลงพื้นที่ดูสภาพน้ำและปริมาณน้ำในเขื่อน
นายประภัตรกล่าวว่าการลงพื้นที่ในวันนี้เพื่อรับฟังสถานการณ์น้ำและร่วมกันกับทุกภาคส่วนหาแนวทางแก้ไขปัญหาจากที่รับฟังรายงานพบว่าสถานการณ์น้ำในเขื่อนทั้งสองอยู่ในเกณฑ์น้อยซึ่งยังน่าเป็นห่วงโดยน้ำในเขื่อนภูมิพลขณะนี้เหลือน้ำใช้การได้892 ล้านลบ.ม. หรือ9.2% น้อยกว่าปีที่แล้ว2,553 ล้านลบ.ม. หรือ74% และน้อยกว่าค่าเฉลี่ย1,984 ล้านลบ.ม. หรือ69% ถือว่าอยู่ในเกณฑ์น้อยมีปริมาณน้ำไหลเข้าเขื่อนตั้งแต่1 ม.ค. – 18 ก.ค. 62 รวม303 ล้านลบ.ม.ใกล้เคียงกับสถานการณ์น้ำไหลเข้าเขื่อนปี2536, 2541 และ2558 ซึ่งเป็นปีที่มีปริมาณน้ำไหลเข้าเขื่อนตลอดทั้งปีเพียง2,382 1,470 และ 1,891 ล้านลบ.ม. ตามลำดับปริมาณน้ำระบาย23 ล้านลบ.ม.ต่อวัน(ณวันที่18 กค62) คาดการณ์ว่าจะเหลือน้ำใช้ได้อีก40 กว่าวันอย่างไรก็ตามยังไม่ประกาศให้งดใช้น้ำแต่จะใช้ระบบชะลอการสูบน้ำคือสูบ3 วันหยุด4 วันทั้งนี้หากไม่มีฝนตกลงมาจะส่งผลกระทบต่อการปลูกข้าวของชาวนาที่ปลูกไปแล้วการจัดสรรน้ำครั้งนี้จึงต้องทำอย่างมีระบบโดยบูรณาการทุกฝ่ายทั้งฝ่ายปกครองผู้ว่าว่าราชการจังหวัดเกษตรและสหกรณ์จังหวัดรวมถึงชาวบ้านที่ต้องประชาสัมพันธ์ให้เข้าใจเพื่อลดความเสียหายในการเพาะปลูกที่สำคัญต้องใช้ระบบหมุนเวียนเพื่อให้น้ำไปลงไปถึงเขื่อนเจ้าพระยาและกระจายน้ำไปถึงลุ่มน้ำเจ้าพระยาได้จึงต้องความร่วมมือจากจังหวัดต้นทางคือกำแพงเพชรและนครสวรรค์ให้ชะลอการสูบน้ำลง
“เชื่อว่าปริมาณน้ำจะมีเพียงพอตลอดฤดูนี้ซึ่งต้องขอความร่วมมือจากเกษตรกรให้ใช้น้ำอย่างประหยัดและมีระเบียบโดยสลับการใช้น้ำการประชุมกันในวันนี้ก็เพื่อชี้แจงให้พี่น้องเกษตรกรได้ทราบข้อมูลที่ถูกต้องเพราะหากไม่มีฝนก็อย่าเพิ่งทำนาต้องชะลอไปก่อนส่วนจะมีการแก้ไขอย่างไรนั้นจะนำการประชุมพิจารณาในวันนี้ไปหารือกับนายกรัฐมนตรีในฐานะประธานคณะกรรมการทรัพยากรน้ำ(กนช.) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เพื่อหาแนวทางแก้ไขต่อไปหากบูรณาการทุกฝ่ายมาช่วยกันเชื่อว่าสำเร็จแน่นอน” นายประภัตรกล่าว
สำหรับสถานการณ์และการบริหารจัดการน้ำลุ่มเจ้าพระยา(4 เขื่อนหลัก) มีปริมาณน้ำใช้การรวม1,560 ล้านลบ.ม. (ณวันที่19 กค62) แบ่งเป็น1) เขื่อนภูมิพลมีปริมาณน้ำเก็บกัก4,692 ล้านลบ.ม. ปริมาณน้ำใช้การ892 ล้านลบ.ม. 2) เขื่อนสิริกิติ์ มีปริมาณน้ำเก็บกัก3,373 ล้านลบ.ม. ปริมาณน้ำที่นำมาใช้ได้523 ล้านลบ.ม. 3) เขื่อนแควน้อยบำรุงแดน มีปริมาณน้ำเก็บกัก144 ล้านลบ.ม. ปริมาณน้ำที่นำมาใช้ได้101 ล้านลบ.ม. 4) เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ มีปริมาณน้ำเก็บกัก47 ล้านลบ.ม. ปริมาณน้ำใช้การ44 ล้านลบ.ม. ส่วนแผนจัดสรรน้ำตลอดฤดูฝนปี2562 ตั้งแต่1 พ.ค. 62 - 31 ต.ค. 62 ใน4 เขื่อนหลักลุ่มเจ้าพระยาปริมาณ4,400 ล้านลบ.ม. ปัจจุบันจัดสรรน้ำไปแล้ว3,716 ล้านลบ.ม. คิดเป็น84% คงเหลือจากแผน684 ล้านลบ.ม. คิดเป็น16% เพาะปลูกข้าวฤดูฝนไปแล้ว6.21 ล้านไร่จากแผน7.65 ล้านไร่คิดเป็น81.14%
ด้านนายธรรมนัสกล่าวเพิ่มเติมว่าในส่วนของปัญหาภัยแล้งที่เกิดฝนทิ้งช่วงหากมุ่งแต่เรื่องชลประทานอย่างเดียวไม่ได้ทุกภาคส่วนต้องร่วมแก้ปัญหาอย่างจริงจังโดยเฉพาะการเติมฝนกรมฝนหลวงฯต้องบูรณาการร่วมกับกองทัพบกกองทัพอากาศกองทัพเรือและสำนักงานตำรวจแห่งชาติเพื่อแก้ปัญหาอย่างมีประสิทธิภาพต้องช่วยกันคิดว่าจะทำอย่างไรถึงเติมน้ำลงมาได้โดยจะนำเรื่องนี้หารือกับนายกฯและรองนายกฝ่ายความมั่นคงเพื่อให้เกิดการบูรณาการอย่างแท้จริง.