ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานและปาฐกถาพิเศษ “เกษตรเข้มแข็ง ประเทศไทยแข็งแกร่ง” ในการสัมมนา เรื่อง ภาวะเศรษฐกิจการเกษตรปี 2565 และแนวโน้มปี 2566 “Go Together Better Thailand : เกษตรเข้มแข็ง ประเทศไทยแข็งแกร่ง” และมอบโล่ให้แก่เศรษฐกิจการเกษตรอาสา (ศกอ.) ดีเด่น โดยมีนายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นายธนา ชีรวินิจ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นายสมเกียรติ กอไพศาล ประธานคณะทำงานรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นายประยูร อินสกุล ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และผู้บริหารกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เข้าร่วม ณ สโมสรทหารบก กรุงเทพมหานคร ว่า ภาคเกษตรเป็นภาคการผลิตที่มีความสำคัญต่อการพัฒนาประเทศในทุกมิติ ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม แม้ว่า GDP ภาคเกษตรจะมีสัดส่วนประมาณร้อยละ 8.5 ของ GDP ทั้งประเทศ แต่ภาคเกษตรยังคงมีบทบาทสำคัญต่ออนาคตของประเทศไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าภาคเศรษฐกิจอื่น โดยมีเนื้อที่ทางการเกษตร 149.25 ล้านไร่ คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 46.5 ของเนื้อที่ทั้งประเทศ มีสัดส่วนแรงงานภาคเกษตรประมาณร้อยละ 50 ของจำนวนแรงงานทั้งประเทศ และที่สำคัญ ภาคเกษตรเป็นแหล่งวัตถุดิบหรือต้นน้ำของอุตสาหกรรมต่าง ๆ เป็นแหล่งผลิตอาหารเลี้ยงประชากรในประเทศและส่งออกไปยังต่างประเทศ สร้างรายได้ให้กับประเทศเป็นมูลค่ามหาศาลในแต่ละปี โดยในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา มูลค่าการส่งออกสินค้าเกษตรและผลิตภัณฑ์เฉลี่ยอยู่ที่ 1.39 ล้านล้านบาทต่อปี และมีดุลการค้าเกินดุลเฉลี่ย 8.6 แสนล้านบาทต่อปี นอกจากนี้ ภาคเกษตรยังเป็นทางรอดที่ช่วยรองรับและโอบอุ้มเศรษฐกิจไทยในวิกฤตการณ์ต่าง ๆ เป็นแหล่งรองรับแรงงานที่ถูกเลิกจ้างจากภาคเศรษฐกิจอื่น ช่วยบรรเทาผลกระทบทางด้านเศรษฐกิจและสังคมในช่วงที่ประเทศประสบปัญหา ไม่ว่าจะเป็นวิกฤตต้มยำกุ้งในปี 2540 หรือการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่เกิดขึ้นมาตั้งแต่ปี 2563 ต่อเนื่องถึงปัจจุบัน
อย่างไรก็ตาม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้วางยุทธศาสตร์การพัฒนาภาคเกษตร 5 ยุทธศาสตร์ ได้แก่ (1) ตลาดนำการผลิต (2) เทคโนโลยีเกษตร 4.0 (3) เกษตรปลอดภัย เกษตรมั่นคง และเกษตรยั่งยืน (Safety-Security-Sustainability) หรือ 3’s (4) การบริหารเชิงรุกแบบบูรณาการกับทุกภาคส่วน และ (5) เกษตรกรรมยั่งยืนตามแนวทางศาสตร์พระราชาให้เกษตรกรสามารถก้าวทันและปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ต่าง ๆ ที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ ยังให้ความสำคัญกับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและสิ่งอำนวยความสะดวกที่สอดคล้องกับศักยภาพของพื้นที่และความต้องการของเกษตรกร เพื่อรองรับวิกฤตในอนาคตอย่างรอบด้าน ทั้งการนำเทคโนโลยีสมัยใหม่และนวัตกรรมด้านการเกษตรมาใช้เพื่อเพิ่มผลผลิตและทดแทนแรงงานภาคเกษตรที่มีแนวโน้มลดลง การพัฒนาฐานข้อมูล Big Data เพิ่มช่องทางให้เกษตรกรสามารถเข้าใช้ประโยชน์ข้อมูลในการวางแผนการผลิตและการตลาด เช่น Mobile Application (One App) การสร้างความมั่นคงในการประกอบอาชีพให้เข้าถึงที่ดินทำกินและแหล่งเงินทุน การประกันภัยพืชผล ส่งเสริมเกษตรอัจฉริยะและเกษตรแม่นยำสูง การยกระดับสู่เกษตรมูลค่าสูง เพื่อช่วยสร้างเสถียรภาพทางรายได้และความมั่นคงในอาชีพแก่เกษตรกร รวมทั้งการพัฒนาระบบโลจิสติกส์ด้านการเกษตรให้มีประสิทธิภาพ เพื่อสร้างความเข้มแข็งให้กับเกษตรกร และยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันภาคเกษตร
“การขับเคลื่อนภาคการเกษตรให้เข้มแข็งและเติบโตอย่างมั่นคง รวมถึงการเตรียมความพร้อมเพื่อรองรับวิกฤตต่าง ๆ ในอนาคตอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งสิ่งสำคัญคือความร่วมมือร่วมใจจากทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ตั้งแต่ต้นทาง กลางทาง และปลายทาง แน่นอนว่าประเทศไทยจะแข็งแกร่งไม่ได้ ถ้าภาคเกษตรไม่เข้มแข็ง เพราะภาคเกษตรคือรากฐานวิถีชีวิตของสังคมไทยและเกษตรกร เป็นอาชีพที่มีผลต่อความมั่นคงทางด้านอาหาร มีผลต่อระบบเศรษฐกิจหลักของประเทศ ดังนั้นการทำงานร่วมกันทุกภาคส่วน จะช่วยสร้างรากฐานภาคเกษตรไทยให้เข้มแข็ง เพื่อประเทศไทยที่แข็งแกร่งไปด้วยกัน นอกจากนี้ ต้องสนับสนุนให้เกษตรกรมีเครื่องมือที่ทันสมัย โดยสนับสนุนการใช้เทคโนโลยี นวัตกรรม และงานวิจัย เข้ามาพัฒนาภาคการเกษตร รวมถึงให้โอกาส ทั้งในแหล่งเงินทุนและการพัฒนาทักษะต่าง ๆ เพื่อให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของกระแสโลก อีกทั้งต้องบริหารจัดการสินค้าเกษตรตามความต้อง Demand และ Supply ให้สมดุล ตามความต้องการของตลาด เพื่อมุ่งสู่เกษตร 5.0 ต่อไปในอนาคต” ดร.เฉลิมชัย กล่าว
ทั้งนี้ ภาวะเศรษฐกิจการเกษตรปี 2565 มีขยายตัวร้อยละ 0.8 เมื่อเทียบกับปี 2564 โดยสาขาพืช สาขาบริการทางการเกษตร และสาขาป่าไม้ ขยายตัว ขณะที่สาขาปศุสัตว์และสาขาประมงหดตัว ซึ่งมีปัจจัยสนับสนุน ทั้งในเรื่องของปริมาณน้ำฝน ปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำ รวมถึงสภาพอากาศ ประกอบกับราคาสินค้าเกษตรหลายชนิดในช่วงปีที่ผ่านมาอยู่ในเกณฑ์ดี จูงใจให้เกษตรกรเพิ่มการผลิตและมีการบำรุงดูแลรักษามากขึ้น การดำเนินนโยบายและมาตรการของภาครัฐ และความร่วมมือของทุกภาคส่วนในด้านต่าง ๆ การขยายช่องทางการตลาดทั้งออนไลน์และออฟไลน์ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ และความเชื่อมั่นในคุณภาพสินค้าเกษตรของไทย ส่งผลให้การส่งออกสินค้าเกษตรและผลิตภัณฑ์ขยายตัวได้มากขึ้น
ส่วนปัจจัยลบ ในเรื่องของปรากฏการณ์ลานีญาที่มีกำลังแรงขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี รวมถึงอิทธิพลของลมมรสุมและพายุที่เข้ามาหลายระลอกในช่วงไตรมาส 3 ส่งผลให้เกิดน้ำท่วมในหลายพื้นที่ของภาคอีสาน ภาคกลาง และภาคเหนือ ซึ่งพื้นที่ทางการเกษตรและผลผลิตบางส่วนได้รับความเสียหาย ประกอบกับราคาปัจจัยการผลิตที่สูงขึ้น ส่งผลให้ต้นทุนการผลิตสินค้าเกษตรสูงขึ้นด้วย นอกจากนี้ ยังมีความกังวลเกี่ยวกับการระบาดของโรคสัตว์ ทำให้มีการชะลอการเลี้ยง ควบคุมปริมาณการผลิต และปัจจัยภายนอกประเทศ อาทิ ความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครนที่ยืดเยื้อ มาตรการ Zero-COVID ของจีน และเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว ส่งผลกระทบต่อการส่งออกสินค้าเกษตรและผลิตภัณฑ์ของไทย
สำหรับแนวโน้มเศรษฐกิจการเกษตรในปี 2566 คาดว่า จะขยายตัวอยู่ในช่วงร้อยละ 2.0 – 3.0 โดยมีปัจจัยสนับสนุน ได้แก่ ปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำและแหล่งน้ำตามธรรมชาติที่มีเพียงพอสำหรับการทำเกษตร การดำเนินนโยบายและมาตรการของภาครัฐด้านการเกษตรในทุกมิติอย่างต่อเนื่อง และเศรษฐกิจไทยปี 2566 ที่คาดว่าจะขยายตัวได้ดีขึ้น อย่างไรก็ตาม ภาวะเศรษฐกิจการเกษตรปี 2566 ยังมีปัจจัยเสี่ยงและสถานการณ์สำคัญที่ต้องติดตามอย่างต่อเนื่อง ทั้งการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศที่มีความแปรปรวนมากขึ้น ราคาปัจจัยการผลิตที่ยังคงอยู่ในระดับสูง ทั้งราคาน้ำมัน ปุ๋ย สารเคมีกำจัดโรคและแมลง และวัตถุดิบอาหารสัตว์ การระบาดของโรคพืชและสัตว์ทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ เศรษฐกิจโลกที่มีแนวโน้มชะลอตัว ความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน ความขัดแย้งทางด้านภูมิรัฐศาสตร์ โดยเฉพาะความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครนที่ยืดเยื้อ รวมถึงความไม่แน่นอนของสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 ที่อาจกลับมาระบาดเป็นวงกว้างอีกครั้ง ซึ่งส่งผลต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของประเทศและเศรษฐกิจโลก