“รมว.ธรรมนัส” ชูผลงานชิ้นโบว์แดงกรมประมง แก้กฎหมายรอง 19 ฉบับ พร้อมเสนอ พ.ร.บ. การประมงใหม่ เข้าสภาสำเร็จ ลั่น! ฟื้นประมงไทยกลับมาเป็นจ้าวสมุทร ผู้นำด้านสินค้าประมงตลาดโลกอีกครั้ง ด้านกรมประมงขานรับขับเคลื่อน 9 นโยบายหลัก 7 ข้อสั่งการเร่งด่วน
ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวในโอกาสเป็นประธานเปิดการประชุมเชิงปฏิบัติการ “การขับเคลื่อนนโยบายและแนวทางการปฏิบัติราชการ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 กรมประมง” โดยมี นายประยูร อินสกุล ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ผู้บริหารและเจ้าหน้าที่กรมประมงเข้าร่วมกว่า 600 คน ณ ห้องประชุมอานนท์ กรมประมง พร้อมถ่ายทอดสดผ่านระบบออนไลน์ไปยังหน่วยงานส่วนภูมิภาคทั้ง 76 จังหวัดทั่วประเทศ ว่า ภาคการประมงถือเป็นแหล่งสร้างรายได้สำคัญในระบบเศรษฐกิจของประเทศไทย ทั้งการผลิตเพื่อบริโภคภายในประเทศและส่งออกไปยังต่างประเทศ ส่งผลให้ผลิตภัณฑ์มวลรวมหรือ GDP ภาคการประมงมีมูลค่าสูงถึง 126,240 ล้านบาท กระทรวงเกษตรและสหกรณ์จึงให้ความสำคัญในการขับเคลื่อนภารกิจของกรมประมงให้สำเร็จตามเป้าหมายที่กำหนดไว้และเป็นไปตามนโยบายของรัฐบาลด้านการเกษตรที่ต้องการช่วยเหลือและแก้ไขปัญหาปากท้องของพี่น้องเกษตรกรให้มีความกินดีอยู่ดี มีรายได้เพิ่มขึ้น 3 เท่า ภายในระยะเวลา 4 ปี ด้วยการขับเคลื่อน 9 นโยบายสำคัญ และ 7 ข้อสั่งการเร่งด่วน
“นโยบายสำคัญต่างๆ นั้น ต้องขับเคลื่อนให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับพี่น้องชาวประมงทั่วประเทศ ซึ่งที่ผ่านมา ต้องขอชื่นชมกรมประมง ที่ได้ปฏิบัติงานกันอย่างเข้มข้น โดยเฉพาะการแก้ไขกฎหมายประมงลำดับรองจำนวน 19 ฉบับ ได้สำเร็จ ภายในระยะเวลา 3-4 เดือน รวมถึงผลักดันร่าง พรบ.การประมงใหม่ ที่กำลังแก้ไขอยู่ในสภาขณะนี้ อย่างไรก็ตาม ยังคงเดินหน้าเร่งปราบปรามการลักลอบนำเข้าสินค้าประมงผิดกฎหมายอย่างจริงจังและต่อเนื่อง เพื่อแก้ปัญหาสินค้าประมงตกต่ำ ล้นตลาด รวมทั้ง ต้องหามาตรการในการลดต้นทุนเพื่อช่วยเหลือพี่น้องชาวประมง ทั้งนี้ ขอเป็นกำลังใจให้กับเจ้าหน้ากรมประมงทุกท่าน ซึ่งถือเป็นฟันเฟืองสำคัญในการดูแลพี่น้องชาวประมงทั้งแถบทะเลอันดามัน อ่าวไทย และประมงน้ำจืด เพื่อให้ชาวประมงได้มีชีวิตและความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ตลอดจน มุ่งเป้าขับเคลื่อนเพื่อให้ประมงไทยกลับมาเป็นจ้าวสมุทรอีกครั้ง“ รมว.ธรรมนัส กล่าว
สำหรับผลงานการขับเคลื่อน 9 นโยบายสำคัญของกรมประมง ดังนี้ 1) จัดตั้งศูนย์บริการประชาชน สนับสนุนการทำงานของศูนย์บริการเกษตรพิรุณราช และขับเคลื่อนดำเนินงานโครงการศูนย์เรียนรู้การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้า เพื่ออำนวยความสะดวกด้านการประมงเกิดผลสัมฤทธิ์ของการพัฒนาด้านการประมงที่มีเอกภาพและเป็นรูปธรรมในภาพรวม 2) ขับเคลื่อนภารกิจ ยกระดับ MR. สินค้าเกษตรด้านประมง ได้แก่ MR. ปลานิล กุ้งก้ามกราม กุ้งทะเล และปลากะพงขาว พร้อมดำเนินการแก้ไขปัญหาราคาสินค้าสัตว์น้ำตกต่ำอย่างต่อเนื่อง 3) ป้องกัน แก้ไข ฟื้นฟู รับมือภัยแล้ง / ภัยพิบัติธรรมชาติ โดยประชาสัมพันธ์แจ้งเตือนเกษตรกรผู้เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ ด้านการวางแผนการรับมือภัยจากธรรมชาติ ควบคู่กับการวางแผนการผลิตลูกพันธุ์สัตว์น้ำจืดและปล่อยลงสู่แหล่งน้ำเพื่อทดแทนสัตว์น้ำที่ได้รับความเสียหายจากภัยธรรมชาติ ภายในปี 2567 จำนวนทั้งสิ้น 256,000,000 ตัว 4) ปราบปรามการลักลอบนำเข้าสินค้าประมงผิดกฎหมาย โดยบูรณาการทำงานร่วมกับทีมเฉพาะกิจพญานาคราช และจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านการนำเข้าส่งออกสินค้าประมงผิดกฎหมาย เพื่อยกระดับความเข้มข้นในการป้องกันการลักลอบการนำเข้าและส่งออกสินค้าประมง
5) ผลักดันสินค้าเกษตรและบริการมูลค่าสูง 1 ท้องถิ่น 1 สินค้าเกษตรมูลค่าสูง เป้าหมายกลุ่มเกษตรกรจำนวน 23 กลุ่ม 7 สินค้ามูลค่าสูง ได้แก่ ปลาสวยงาม กุ้งทะเลต้มสุก / แช่แข็ง กุ้งทะเลมีชีวิต ปลานิล กุ้งก้ามกราม ปลากะพงขาว และปูม้า พร้อมวางแผนผลักดันสัตว์น้ำไทยสู่ Soft power ในอนาคต เช่น ปลากัดไทย ปลาพลวงชมพู ปลานิลน้ำไหล เป็นต้น 6) ส่งเสริมเกษตรกร/สถาบันเกษตรกรเป็นผู้ให้บริการทางการเกษตรครบวงจร สนับสนุนโครงการสร้างความเข้มแข็งองค์กรชุมชนประมงท้องถิ่น โดยส่งเสริมและพัฒนาอาชีพด้านการประมงจำนวน 200 ชุมชนทั่วประเทศ และเดินหน้าโครงการธนาคารผลผลิตสัตว์น้ำแบบมีส่วนร่วมอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในปี 2567 มีเป้าหมายดำเนินการในแหล่งน้ำ 200 แห่งทั่วประเทศ 7) ทำการเกษตรที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม พัฒนาสินค้าประมงที่ผลิตภายใต้โมเดลเศรษฐกิจ BCG ได้แก่ สาหร่ายทะเล ไข่น้ำ ปูม้า และกุ้งก้ามกราม รวมถึงมีการดำเนินโครงการฟางมา ปลาโต สนับสนุนให้มีการนำฟางเหลือใช้จากการทำนามาเป็นวัตถุดิบในการสร้างอาหารสัตว์น้ำจากธรรมชาติ เพื่อช่วยบรรเทาผลกระทบและลดฝุ่น pm 2.5 จากการเผาฟาง 8) สร้างระบบประกันภัย เกษตรกรไทย สุขใจถ้วนหน้า ผ่านการดำเนินโครงการต่าง ๆ เพื่อบรรเทาความเดือดร้อน ให้กับพี่น้องเกษตรกรและชาวประมง อาทิ โครงการสินเชื่อเสริมสภาพคล่องเกษตรกรผู้เลี้ยงกุ้งทะเล โครงการสินเชื่อเพื่อเสริมสภาพคล่องผู้ประกอบการประมง โครงการประกันภัยเรือประมงพาณิชย์และประมงพื้นบ้าน ฯลฯ และ 9) บริการทางการเกษตรที่ใช่ เลือกใช้ให้เหมาะสม ด้วยการสนับสนุนโครงการสร้างความเข้มแข็งกลุ่มการผลิตด้านประมง
ในส่วนของ 7 ข้อสั่งการเร่งด่วน ประกอบด้วย 1) แก้ไขปัญหาการทำประมง โดยปรับปรุงแก้ไขกฎหมายและการบังคับใช้กฎหมายที่มีผลกระทบต่อพี่น้องชาวประมงโดยตรง ซึ่งปัจจุบันกรมประมงได้มีการแก้ไขกฎหมายประมงลำดับรองจำนวน 19 ฉบับ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว และเมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรได้มีมติเป็นเอกฉันท์ผ่านร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติม พระราชกำหนดการประมง พ.ศ. 2558 พ.ศ. เพื่อให้บทบัญญัติบางประการสอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน ไม่ส่งผลกระทบต่อการประกอบอาชีพของพี่น้องชาวประมง เพื่อประโยชน์ในการอนุรักษ์และบริหารจัดการทรัพยากรสัตว์น้ำให้อยู่ในสภาวะที่เหมาะสม และสามารถทำการประมงได้อย่างยั่งยืน มีประสิทธิภาพ และเกิดประโยชน์สูงสุด โดยไม่ขัดต่อพันธกรณีระหว่างประเทศ 2) เพิ่มโอกาสการเข้าถึงแหล่งเงินทุนของเกษตรกรผู้เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ โดยแปลงสินทรัพย์ภาคการประมงด้วยการเพิ่มมูลค่าบ่อเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำหรือกระชังและจัดตั้งเป็นกองทุนการประมง 3) สร้างอาชีพและสร้างรายได้ให้เกษตรกรที่ได้รับการพักชำระหนี้ ผ่านโครงการที่ส่งเสริมพัฒนาอาชีพชาวประมงและเกษตรกรผู้เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ รวมถึงเพิ่มผลผลิตสัตว์น้ำและปล่อยลงสู่แหล่งน้ำเพื่อเป็นแหล่งอาหารและสร้างรายได้ให้กับพี่น้องชาวประมง ปัจจุบันมีการดำเนินการแล้วกว่า 107.808 ล้านตัว แบ่งเป็นสัตว์น้ำจืด 48 ชนิด จำนวน 83 .490 ล้านตัว และสัตว์ทะเล 11 ชนิด จำนวน 24.318 ล้านตัว
4) พัฒนาพันธุ์สัตว์น้ำ เพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ส่งเสริมการใช้สัตว์น้ำพันธุ์คุณภาพดี มูลค่าสูง โดยมีแผนปรับปรุงพันธุ์สัตว์น้ำพันธุ์ดี 14 สายพันธุ์ เช่น กุ้งก้ามกราม มาโคร 1 ตะเพียนขาวนีโอเมล ฯลฯ และพัฒนาสัตว์น้ำพันธุ์ใหม่ 2 สายพันธุ์ ได้แก่ กุ้งขาว เพชรดา 1 และกุ้งขาว ศรีดา 1 เพื่อตอบสนองความต้องการของตลาดและผู้บริโภค 5) การเปิด / ขยายตลาดสินค้าเกษตรต่างประเทศ เช่น การส่งออกกุ้งก้ามกรามไปยังประเทศจีน เป็นต้น 6) การขยายผลการดำเนินงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ และพัฒนาพื้นที่โครงการหลวงด้านการประมงอย่างต่อเนื่อง 7) ติดตามการดำเนินงานด้านการประมง ลงพื้นที่เพื่อรับฟังปัญหา นำมาสู่การปฏิบัติแก้ไขอย่างเป็นรูปธรรม
นายบัญชา สุขแก้ว อธิบดีกรมประมง เปิดเผยว่า กิจกรรมในวันนี้จัดขึ้นเพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้บริหาร หัวหน้าหน่วยงาน และบุคลากรในสังกัดกรมประมง รวมถึงสร้างการรับรู้ในแนวทางการปฏิบัติราชการประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 ซึ่งจะนำไปสู่การปฏิบัติราชการที่ถูกต้อง ชัดเจน เกิดประสิทธิภาพ และบรรลุเป้าหมาย ที่กำหนด โดยกรมประมงพร้อมที่จะขับเคลื่อนภารกิจตามข้อสั่งการดังกล่าว เพื่อสนับสนุนนโยบายของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในการช่วยเหลือและบรรเทาความเดือดร้อนของผู้ประกอบการธุรกิจประมง ชาวประมง และเกษตรกรผู้เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น สามารถประกอบอาชีพได้อย่างยั่งยืน อันจะเป็นการเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับภาคการประมงของประเทศไทยต่อไป