แนวพระราชดำริเพื่อนำไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน
ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๓๐ เป็นต้นมา เกษตรกรไทยเริ่มตื่นตัวและสนใจการเลี้ยงโคนมเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากเห็นว่าอาชีพการเลี้ยงโคนมทำรายได้ดี สม่ำเสมอและมั่นคง ทั้งรัฐบาลก็มีนโยบายส่งเสริมสนับสนุนให้มีการเลี้ยงโคนมเพิ่มมากขึ้น
จรัญ จันทลักขณา เขียนไว้ในบทความ "ปฏิวัติขาวเพื่อคุณภาพชีวิตคนไทย" ว่า
"...ปัจจุบันมีฟาร์มโคนมกระจัดกระจายอยู่ทั่วประเทศกว่า ๒๐,๐๐๐ ราย มีจํานวนโคนมทั้งสิ้นเกือบ ๒๔๐,๐๐๐ ตัว ๙๐% ของฟาร์มโคนมเป็นฟาร์ม ขนาดเล็ก มีจํานวนโคนมตํากว่า ๔๐ ตัว ส่วนใหญ่มีโค ๑ - ๑๐ ตัว..."
"...เกษตรกรส่วนใหญ่มีที่ดินน้อย จบการศึกษาระดับประถมสี่ ต้องกู้เงินจากธนาคารมาลงทุน ผู้ที่กู้เงินมาดําเนินกิจการเลี้ยงโคนมส่วนใหญ่ (ราว ๗o%) กู้จาก ธ.ก.ส. เกษตรกรส่วนใหญ่ยึดอาชีพการเลี้ยงโคนมเป็นอาชีพหลัก..."
สุวิทย์ ผลลาภ อธิบดีกรมปศุสัตว์ ก็ได้แสดงความเห็นเกี่ยวกับรูปแบบ การเลี้ยงโคนมไว้ในเอกสารประกอบการอภิปรายในการประชุมวิชาการ เรื่อง "โคนม และผลิตภัณฑ์" ระหว่างวันที่ ๕ - ๗ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๓๙ ณ อาคาร ๖๐ ปี คณะสัตวแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ว่า
"...การเลี้ยงโคนมโดยถือเป็นอาชีพเสริมหรืออาชีพรอง ส่วนใหญ่มักไม่ ประสบความสําเร็จ เนื่องจากการเลี้ยงโคนมเป็นงานประณีต ผู้เลี้ยงต้องมีความรู้ และมีเวลาดูแลโดยใกล้ชิด ทําให้ได้ผลผลิตสูงต้นทุนการผลิตต่า การจ้างเลี้ยง และมีเวลาดูแลไม่เพียงพออาจไม่คุ้มทุน..."
นอกจากนี้ ปัญหาในการเลี้ยงโคนมที่เกิดขึ้นในระยะหลัง นอกจากจะเป็น เพราะปัจจัยภายนอก เช่น ต้นทุนอาหารสัตว์สูง ต้นทุนค่าพันธุ์โคสูง ค่าที่ดินและ ค่าแรงงานที่สูงขึ้น ฯลฯ แล้ว ปัจจัยภายในคือตัวเกษตรกรผู้เลี้ยง ส่วนใหญ่ยังมี ความรู้ความสามารถและศักยภาพจํากัดในการจัดการและแก้ไขปัญหาการเลี้ยง โคนมของตนกล่าวคือการเลี้ยงดูลูกโคเพื่อไปเป็นแม่พันธุ์ยังไม่ถูกต้องและเหมาะสม การให้อาหารโคยังไม่เพียงพอและถูกต้อง ทั้งนี้เป็นเพราะพื้นฐานเดิมของ เกษตรกรไทยซึ่งมาจากชาวนา เคยชินกับการปลูกพืชฤดูเดียว เช่น ข้าว มันสําปะหลัง ซึ่งเป็นพืชที่ปลูกแล้วเก็บเกี่ยวครั้งต่อครั้ง ไม่ต้องดูแลมาก ทําให้ ขาดการมองระบบการผลิตอย่างเป็นระบบต่อเนื่อง เช่น ไม่ยอมลงทุนค่าอาหาร เสริมที่จะช่วยโคให้มีน้ำนมเพิ่มขึ้น หรือลูกโคมีความสมบูรณ์เต็มที่ ส่วนใหญ่ยัง เลี้ยงในลักษณะให้หาหญ้ากินเอง ผลก็คือ ลูกโคไม่สมบูรณ์พอ ผสมพันธุ์ยาก แม่โคก็ให้ปริมาณน้ำนมดิบน้อย เป็นต้น
นอกจากนั้น อาชีพการเลี้ยงโคนมยังต้องการวินัยจากผู้เลี้ยงสูง แม้จะมี รายได้ดีก็ตาม แต่ผู้เลี้ยงต้องรีดนมวันละ ๒ ครั้ง เช้า - เย็น ต้องรักษาความ ะอาดน้ำนมอย่างเคร่งครัด และต้องไปส่งน้ำนมดิบยังศูนย์รวมนมทุกวันๆ ละ ๒ ครั้ง ถ้าเลี้ยงในลักษณะ “วัวยืนโรง” ก็ต้องให้อาหารเป็นเวลา และรักษา ความสะอาดโรงโคอยู่เสมอ ลักษณะงานที่มี “เวลา” เป็นตัวกําหนดนี้ กอปรกับ การคลุกคลีกับงานที่ไม่สะอาด ทําให้คนรุ่นหนุ่มสาวซึ่งยังยึดติดกับค่านิยมรัก ความสบาย แต่งกายสวยงาม ไม่นิยมรับสืบทอดกิจการจากครอบครัว จึงปรากฏ การขาดแคลนแรงงานในวัยหนุ่มสาวเป็นจํานวนมาก