๓. ใช้หลักวิชาการ ในการพัฒนาด้านการเกษตรจำเป็นต้องอาศัยหลักวิชาเป็นส่วนสำคัญในการปฏิบัติงาน ตั้งแต่ขั้นตอนการสำรวจข้อมูลพื้นที่การวางแผน การปฎิบัติทดลอง การตรวจสอบผลงาน และการประสานวิชาการแขนงต่างๆ ให้กลมกลืนเกื้อกูลกัน ดังพระบรมราโชวาทพระราชทานแก่บัณฑิต ของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เมื่อวันที่ ๒๐ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๑๕ ว่า
"...การพัฒนาประเทศเพื่อให้เกิดความเจริญความมั่นคง แก่คนส่วนรวมทั้งชาติได้แท้จริงนั้น จะต้องอาศัยหลักวิชาอันถูกต้อง และต้องกระทําพร้อมกันไปทุก ๆ ด้านด้วย เพราะความเป็นไปทุกอย่างในบ้านเมือง มีความสัมพันธ์เกี่ยวโยงถึง กันหมดเพียงแต่จะทํางานด้านการเกษตร ซึ่งโดยหลักส่วนใหญ่ ได้แก่ การกสิกรรม และสัตวบาล อย่างน้อยที่สุด ก็ยังต้องอาศัยวิชาการด้านวิทยาศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ และเศรษฐศาสตร์สหกรณ์เข้าช่วยด้วย ทุกคนซึ่งเป็นผู้ที่จะใช้วิชาการ ในการพัฒนาบ้านเมืองต่อไป ควรทราบให้ถ่องแท้ว่าในการนั้นจําเป็นที่สุดที่จะต้องใช้วิชาการทํางานร่วมมือกัน ให้ประสานสอดคล้องทุกฝ่าย..."
และพระบรมราโชวาทพระราชทานแก่บัณฑิตมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เมื่อวันที่ ๗ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๒๗ ว่า
"...คนที่จะใช้วิชาได้ดีนั้น ประการแรกต้องรู้จักวิชาเป็นอย่างดี คือ รู้อย่างแจ่มแจ้ง ชำนิชำราญ และทั่วถึงตลอดทั้งในหลักใหญ่ ทั้งในรายละเอียด รวมทั้งในส่วนที่จะต้องประสานกับวิชาอื่น ๆ เพื่อให้เกื้อกูลส่งเสริมกัน และกันด้วยประการที่สอง จะต้องรู้จักพิจารณาเลือกทํางานที่เป็นงานสร้างสรรค์ มิใช่งานมีผลข้างลบ หรือที่ปราศจากคุณค่า ปราศจากประโยชน์อันพึงประสงค์ ประการที่สาม ไม่ว่าจะทํางานฝ่ายใดสาขาใด จะต้องเรียนรู้ลักษณะงานให้ทราบอย่างถ่องแท้ โดยเฉพาะในจุดประสงค์ขอบเขต และแนวทางที่จะปฏิบัติ ประการที่สี่ จะต้องมีความตั้งใจที่แน่วแน่ และมีความอุตสาหะพรักพร้อมอยู่เสมอ ที่จะปฏิบัติงานนั้นให้จนสําเร็จประโยชน์ตามที่มุ่งหมาย..."
๔. กระทําอย่างค่อยเป็นค่อยไปเป็นขั้นตอน คือ มีการวางแผน งาน ไม่ทําเพราะความรีบร้อนอยากลองของใหม่ หรืออยากพัฒนาให้เกิดความ เจริญอย่างรวดเร็ว จําเป็นต้องคํานึงถึงความพร้อมของชุมชนด้วย ดังพระบรมราโชวาทพระราชทานแก่นิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่อวันที่ ๑๘ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๑๗ ว่า
"...ในการสร้างความเจริญก้าวหน้านี้ ควรอย่างยิ่งที่จะค่อย สร้างค่อยเสริมที่ละเล็กละน้อยตามลําดับ ให้เป็นการทําไปพิจารณาไป และปรับปรุงไป ไม่ทําด้วยอาการเร่งรีบตามความ กระหายที่อยากจะสร้างของใหม่เพื่อความแปลกใหม่ เพราะความจริงสิ่งที่ใหม่แท้ๆ นั้นไม่มี สิ่งใหม่ทั้งปวงย่อมสืบเนื่อง มาจากสิ่งเก่า แต่ต่อไปย่อมจะต้องกลายเป็นสิ่งเก่า..."
มีพระราชดําริอยู่เสมอว่า ประชาชนควรจะพึ่งตนเองให้ได้ในเรื่องอาหาร ก่อนเป็นลําดับแรก จากนั้นจึงค่อยขยายไปในเรื่องการทําธุรกิจการเกษตร
๕. ใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสม พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรง เข้าพระทัยดีว่าคนไทยเป็นฝ่ายรับเทคโนโลยีมาใช้มากกว่าจะเป็นฝ่ายผลิตเทคโนโลยี ทรงคํานึงถึงความจําเป็นในการรับเทคโนโลยีที่ทันสมัยต่างๆ จากต่างชาติมาใช้ จึงทรงเตือนให้รู้จัก “เลือก” ใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสมกับสภาพ สังคมไทย
จากพระราชดํารัสเมื่อวันที่ ๑๘ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๒๒ สรุปลักษณะการใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสมได้ว่า ควรมีลักษณะประหยัด คุ้มค่า และง่าย ประชาชน ทัวไปสามารถใช้ได้
"...เทคโนโลยีที่ดี ที่สมบูรณ์แบบ จึงควรจะสร้างสิ่งที่เป็นประโยชน์ได้อย่างคุ้มค่า และมีความสูญเปล่าหรือความเสียหายเกิดขึ้นน้อยที่สุด แม้แต่สิ่งที่เป็นของเสียเป็นของเหลือทิ้งแล้ว ก็ควรจะได้ใช้เทคโนโลยีแปรสภาพให้เป็นของใช้ได้ เช่น ใช้ทําขยะ และมูลสัตว์ให้เป็นแก๊ส และปุ๋ย เป็นต้น โดยทางตรงข้ามโนโลยีใดที่ใช้การได้ไม่คุ้มค่า ทําให้เกิดความสูญเปล่า และ เสียหายได้มาก จัดว่าเป็นเทคโนโลยีที่บกพร่อง ไม่สมควรจะ นํามาใช้ไม่ว่าในกรณีใด ท่านทั้งหลายจะเป็นผู้ใช้เทคโนโลยี ในการสร้างสรรค์ต่างๆ เพื่อพิจารณาสภาพบ้านเมือง และฐานะ ความเป็นอยู่ของประชาชนต่อไป ควรหัดเป็นคนช่างคิดช่างสังเกตในการปฏิบัติงานของตนเอง นอกจากเทคโนโลยีที่ใหญ่โตระดับสูงสําหรับใช้ในงานใหญ่ ที่ต้องการผลมาก แล้วแต่ละคนควรจะคํานึงถึง และค้นคิดเทคโนโลยีอย่าง ง่ายๆ ควบคู่กันไป เพื่อช่วยให้กิจการที่ใช้ทุนรอนน้อยมีโอกาส นํามาใช้ได้โดยสะดวก และได้ผลด้วย..."
นอกจากนี้พระราชดํารัสเมื่อวันที่ ๑๘ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๒๓ ยังกล่าวถึง การใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสมเช่นกัน ดังพระราชดํารัสที่ว่า
"...การใช้เทคโนโลยีอันทันสมัยในงานต่างๆ นั้นว่าโดยหลักการควรจะให้ผลมากในเรื่องประสิทธิภาพ การประหยัด และการทุ่นแรงงานแต่อย่างไรก็ตามก็คงยังจะต้องคำนึงสิ่งอื่นอันเป็นพื้นฐาน และส่วนประกอบของแรงงานที่ทำด้วย อย่างในประเทศของเรา ประชาชนทำมาหาเลี้ยงตัวด้วยการกสิกรรม และการลงแรงทำงานเป็นพื้น การใช้เทคโนโลยีอย่างใหญ่โตเต็มรูปหรือเต็มขนาดในงานอาชีพหลักของประเทศย่อยจะมีปัญหา เช่น อาจทำให้เกิดการว่างงานอย่างรุนแรงขึ้น เป็นต้น ผลที่เกิดก็จะพลาดเป้าหมายไปห่างไกล และกลับกลายเป็นผลเสีย ดังนั้น จึงต้องมีความระมัดระวังมากในการใช้เทคโนโลยีปฏิบัติงาน คือควรจะพยายามใช้ให้พอเหมาะพอดีแก่สภาวะของบ้านเมือง และการทำกินของราศฎรเพื่อให้เกิดประสิทธิผลด้วย เกิดประหยัดอย่างแท้จริงด้วย..."